วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

แนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับ E-marketing

Introduction
เวลาผ่านไปทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงตามการเวลาและยุคสมัยเสมอแม้กระทั้งการตลาด
ก็เช่นเดียวกันและตอนนี้ยุคที่มีการสื่อสารผ่านทาง Internet กันอย่างแพร่หลายก็ย่อมมีการ
ตลาดผ่านทาง Internet เป็นธรรมดาและสิ่งนั้นก็ถูกเรียกว่า E-marketing หรือไม่ว่าจะเป็น
Web marketing, Online marketing ตามแต่หลายคนเคยได้ยินมาคือสิ่งเดียวกัน

 E-marketing เกิดจากคำสองคำรวมกันคือ E ที่มาจาก Electronic หรืออิเล็กทรอนิกส์และ
Marketing หรือการตลาดคือ การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่าการตลาดรูปแบบ
ที่ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อในการทำเช่น Computer, โทรศัพท์มือถือ หรือ PDA(Palm)
ต่างๆที่สามารถต่อกับ Internet ได้ นำมาทำธุรกิจผ่านทาง Internet เพื่อเป็นทางเลือกใหม่
ที่สะดวกสบายกว่า ซึ่งอธิบายง่ายๆคือการนำคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ตามที่สามารถเชื่อม
ต่อกับ Internet ได้นำมาขายหรือซื้อสินค้าโดยตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ eBay ที่เป็น website ขายสินค้า
อิสระโดยเป็นสามารขายอะไรก็ได้และจะมีผู้สนใจสินค้าติดต่อเข้ามาซื้อเองซึ่งมันสะดวก
กับคนขายและคนซื้อนี้คือตัวอย่างหนึ่งของ E-marketing

รูปแบบของ E-marketing จะมีหลายรูปแบบ
1. Display advertising คือการที่เสนอโฆษณาด้วย Banner ให้คนสามรถ Click เข้าชมได้เมือ Clickไปที่ Banner นั้นๆแล้วก็จะส่งมาที่ Website หลักที่ขายสินค้านั้น ตัวอย่างรูปแบบของ Banner โฆษณา
บน Website Drama


2. Search engine marketing คือการโฆษณาผ่าน Web Search engine ต่างๆอย่าง Google, Yahoo!
เมือมีคนค้นหา keyword ที่มีความใกล้เคียงกับสินค้าWeb Search engine ก็จะเสนอสินค้าที่ต้องการให้
กับผู้ค้นหาโดยจะขึ้นข้างๆตัวอย่างเช่นค้นหา เสื้อผ้า ผ่าน Google ก็จะมี Sponsored link ขึ้นมาด้านข้าง
นอกจากผลลัพธ์ที่ได้ เรียกว่า Google Ad นั้นเอง

3. E-mail Marketing คือการโฆษณาโดยจะส่งข้อความผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือ E-mail
โดยส่วนใหญ่บริษัทต่างๆจะได้ E-mail ผู้บริโภคมาโดยการให้สมัครสมาชิกแล้วจะบังคับให้กรอก
E-mail และให้ยืนยันเมื่อสมัครไปแล้วหรือทำการ Forward mail ไปเรื่อยๆโดยส่วนมากไม่ได้รับความนิยม
มากเท่าไหร่เพราะ Forward mail ส่วนมากจะไปอยู่ในช่อง Junk ทันที

4. Social media marketing คือการขายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะง่ายสำเร็จรูปและสะดวกสบาย
หากเป็นสมัยก่อนก็จะเป็น My space, Hi5 แต่สมัยนี้คงหนีไม่พ้น Facebook, Twitter, หรือ LinkedIn

นอกจากนี้ยักมีรูปแบบอื่นๆอีกเช่น Video marketing ที่จะใช้คลิปวีดีโอเป็นสื่อในการเสนอตัวสินค้า
ซึ่งจะทำให้สินค้าของเราดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ Youtube ซึ่งนอกจากจะลงคลิปวีดีโอ
ขายสินค้าแล้ว Youtube ยังมี่สิ่งที่เรียกว่า Youtube Ad อยู่ด้วยซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองแบบ โดยแบบแรก
จะเห็นได้ทั่วไปแถบ Ad เล็กๆที่ขึ้นมาราวๆวินาทีที่ 10 ตัวอย่าง(วินาทีที่10) และอีกอย่างนึงจะเป็นวิดีโอ
สั้นๆซึ่งอันนี้จะไม่สามารถปิดได้จำเป็นต้องดูจนจบถึงจะดูวีดีโอที่ต้องการได้

ทำไมต้อง E-marketing?
เพราะว่าปัจุบันนี้หลายคนอาจจะไม่มีเวลาว่างพอที่จะมานั่งเปิด Catalog สินค้าเลือกเอาๆแบบเก่าอยู่แน่ไหนกว่าจะกว่าต้องเขียนไปรษณีย์จองกว่าจะมา กว่าจะจ่ายต้องกินเวลาร่วมอาทิตย์อยู่แล้วแต่ E-marketing ไม่ใช่อย่างนั้นเพราะว่ามีความง่ายและสะดวกสบายในการหาสินค้าซื้อสินหรือ กระทั่งชำระเงินด้วยด้วยการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่สมัยนี้ทุกคนต่างมีใช้กันอยู่แล้วนอกจากนี้สินค้าที่ขายบนสื่อ Online นั้นยังหลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสินค้าประเภทเครื่องแต่งกายอย่างเช่น เสื้อ, กางเกง, เครื่องประดับเป็นต้น ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนช่วงวัยรุ่นนอกจากนี้ยังมีสิ่งที่กลุ่มวัยกลางคนถึงชราต้องใช้อย่างเช่นอาหารเสริมหรือยาบำรุงอยู่ด้วยซึ่งนอกจากมีสินค้าให้เลือกเยอะกว่า ใช่เวลาน้อยกว่า สะดวกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อแล้วมาดูแง่ของผู้ขายกันบ้างประโยชน์หลักๆของ E-marketing เลยคือค่าใช้จ่ายน้อยต้นทุนต่ำสามารถทำได้คนเดียวและ ไม่ต้องไปเสียค่าพื้นที่เช้าเพื่อนขายสินค้าไม่ต้องเดินทางไปไหนทำจากที่บ้านได้เลยเมื่อต้นทุนต่ำแน่นอนว่าราคาขายก็จะลดลงทำให้อาจราคาถูกกว่าสินค้าที่ขายตามร้านทั่วไปทำได้เกิดความน่าดึงดูดลูกค้าก็จะมีมากขึ้นที่สำคัญเลยคือเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดีเพราะส่วนมากหากเป็นวัยรุ่นย่อมที่จะเล่น Internet กันเป็นประจำอยู่แล้วย่อมเข้าถึงสินค้าโดยง่าย

แล้วสิ่งที่ควรระวังละ?
แน่นอนทุกอย่าที่มีข้อดีย่อมที่จะมีข้อเสียเสมอและข้อเสียหลักๆของการทำ E-marketing เลยคือเงินวิธีชำระเงินมีหลากหลายวิธีตามความแหมะสมของกิจการนั้นๆซึ่งที่ใช้กันหลักๆคือการโอนเงินโดยลูกค้าจะต้องทำการโอนเงินไปให้คนขายก่อนถึงจะส่งสินค้าไปถ้าและบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นการคิดไม่ดีของผู้ขายหรือความผิดพลาดก็ตามทำให้ลูกค้าโอนเงินไปแล้วแต่ผู้ขายไม่ยอมส่งสินค้าไปให้หรือส่งไม่ถูกต้อง
ซึ่งขอควรระวังของการโอนเงินคือต้องเป็นร้านที่ไว้ใจได้เสมอ นอกจากโอนเงินแล้วยังมี่แบบนัดกันพบปะตัวต่อตัวโดยวิธีนี้จะน่าอุ่นใจได้มากที่สดุเพราะอย่างน้อยๆลูกค้าจะได้ตรวจเช็คสินค้าของตนก่อนจ่ายเงินทำให้อุ่นใจและสุดท้ายคือการชำระเงินผ่านบัตร Credit สะดวกสุดไว้ใจได้ที่สุดไม่จำเป็นต้องเสียงค่ารถไปพบกันตัวต่อตัวถ้าหากผู้ขายไม่ยอมส่งสินค้ามาให้ก็ลูกค้าเพียงโทรไปอายัดเงินไว้ก็พอ
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเอาไว้ฟ้องร้องกันได้อีกแต่วิธีนี้และโอนเงินจะทำให้ลูกค้าไม่ได้เห็นตัวสินค้าจริงก่อน

ข้อสรุป
หากคุณคือผู้สนใจที่จะเริ่มธุรกิจ  E-marketing ควรตัดสินใจให้ดีกว่าสินค้าของคุณคืออะไรคือสิ่งที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าหรือไม่เช่นใช้ Social media อย่าง Facebook เป็นสื่อในการขายเสื้อผ้าแทนที่จะใช้ขายเตาถ่าน เป็นต้น หรือความเหมาะสมในการชำระเงินอย่าง นัดเจอกันเพื่อซื้อขาย หูฟัง Beat ราคา 4,500.-
แทนที่จะนัดพบเพื่อเสียค่าเดินทางและอาหารกว่าสามร้อยบาทเพิ่มเพื่อขายเสื้อสกรีนเท่ๆตัวละ 80.- เป็นต้น
หากคุณคือผู้สนใจซื้อสินค้าทางอินเตอร์ให้ศึกษาดูว่าร้านทีขายสินค้านั้นๆไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหนติดต่อได้หรือไม่และหากมีปัญหาจะเปลี่ยนสินค้าได้หรือเปล่าที่สำคัญที่เลยคือข้อตกลงหรือที่เรียกว่า
Agreement คือข้อตรงลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ต้องอ่านให้ดีก่อนที่ยอมรับไป เช่นคุณเคยซื้อ Software  และจะมีข้อความยาวๆแล้วให้กด I accept ไม่ว่าจะอ่านหรือไม่ถือว่าคุณยอมรับเขาแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณอาจจะไปฟ้องร้องเขาไม่ได้ตัวอย่างที่ดีที่สุดของ agreement นั้นผู้เขียนของเสนอ
ของ Value Software เผื่อใครก็ตามที่สนใจตัวอย่างของเงื่อนไขที่ "รอบคอบ" ก็เชิญชมกันได้ Clickตรงนี้

นาย ศักสิ์ทธิ์ ธรรมาธิวัฒน์

(Edited for fixed typo)